หากพูดถึง สโมสรที่ซื้อผู้เล่น ด้วยค่าตัวมหาศาลที่สุด ในโลกของฟุตบอลยุคหลัง แฟนบอลเชลซี คงนึกถึงชื่อ สโมสรรักของพวกเขาเอง ที่ได้เข้ามาเปลี่ยน โลกฟุตบอลไปอย่างถาวร แต่ต้องบอกว่าในช่วงหลัง ผลประกอบการ เชลซี นั้นกำลังดีขึ้นเรื่อยๆ แม้จะทุ่มเงินซื้อนักเตะมากมาย ซึ่งมันเป็นเพราะอะไร วันนี้เราจะพาไปหาคำตอบกัน
ผลประกอบการ เชลซี ทำไมถึงดีขึ้นเรื่อยๆ
เชื่อว่าภาพจำ ของแฟนบอลเกือบทุกคน ต่อสโมสรอย่าง เชลซี คือภาพการทุ่มเงินไม่อั้น ดึงนักเตะมาร่วมทีม ตั้งแต่สมัยมีการ เปลี่ยนตัวเจ้าของทีม มาเป็น เสี่ยหมี โรมัน อับราโมวิช มหาเศรษฐีชาวรัสเซีย ที่ปัจจุบันกลายเป็นอดีตไปแล้ว
พูดกันง่ายๆ ว่าก่อนจากกัน ในการเคลียบัญชี สโมสรเชลซี ติดเงินเจ้าของอย่าง อับราโมวิช อยู่ในระดับพันล้านปอนด์ แต่ล่าสุดการที่ เจ้าของทีมมีการเปลี่ยนมือ มีการยกหนี้ให้ แล้วไปบวกเพิ่มกัน ในราคาที่ซื้อขายสโมสร ทำให้ตอนนี้ทาง สิงโตน้ำเงินคราม ปลอดหนี้เรียบร้อย
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะไม่มีเรื่องดังกล่าว สถานการณ์การเงินของ เชลซี กำลังดีขึ้นเรื่อยๆ เพราะต้องยอมรับว่าเงินส่วนใหญ่ ถูกอัดฉีดมาจากเจ้าของ ในสมัยที่เริ่มตั้งไข่ เมื่อราว 20 ปีก่อน เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
เพราะต้องยอมรับว่า พื้นเพเดิมของสโมสร ไม่ได้มีฐานแฟนบอล มากมายเหมือนทีมอื่นๆ ทำให้ไม่ว่าจะรายได้ ที่มาจากสปอนเซอร์ หรือลิขสิทธิ์ถ่ายทอด หรือที่เกี่ยวข้องกับแฟนบอล พวกเขาสู้ทีมยักษ์ใหญ่ ทีมอื่นๆ ไม่ได้อยู่แล้ว
ดังนั้นเม็ดเงินต่างๆ ที่จะนำมาใช้จ่าย ภายในสโมสร ก็ต้องมาแหล่งอื่น ซึ่งในกรณีของ เชลซี ก็มาจากเงินกู้ ที่กู้มาจากเจ้าของสโมสร โดยไม่มีดอกเบี้ย และไม่มีกำหนดชำระคืน ทำให้พวกเขา สามารถซื้อนักเตะ รวมถึงพัฒนาด้านอื่นๆ ได้แบบไม่อั้นเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม ในระยะหลัง การทำธุรกิจของพวกเขา ไม่ใช่แต่จะติดลบสถานเดียว มีรายงานมาว่า เมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้วเป็นต้นมา รายได้ของพวกเขา สูงขึ้นเป็นเงาตามตัว ส่วนหนึ่งแน่นอนว่า มาจากผลงานของพวกเขา ที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ฐานแฟนบอลก็เพิ่มตามมา
แต่ปัจจัยสำคัย ที่ทำให้ Net spent ในตลาดการซื้อขาย ของพวกเขาเป็นบวก มาจากการวางแผนระยะยาว ของเสี่ยหมีและทีมงาน นั่นก็คือการ เสริมคุณภาพให้กับ ระบบอคาเดมี่ของทีม ทั้งการยกระดับ ผู้เล่นท้องถิ่นของพวกเขาเอง และการดึงตัว เยาวชนชื่อดังมีแวว มาร่วมทีมตั้งแต่เด็ก
เราจะเห็นได้ว่า ทีมระดับเยาวชน ของทาง เชลซี มักจะทำผลงาน ในฟุตบอลรุ่นเด็ก ได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่ว่าจะรายการในประเทศ หรือจะรายการในระดับ ทวีปยุโรป ก็จะมีชื่อของ เชลซี ที่ทำผลงาน เข้าสู่รอบลึกๆ อยู่ในทุกรายการ
แม้จะเป็นอย่างนั้น เราก็ไม่ค่อยได้เห็น เยาวชนของเชลซี ทะลุขึ้นมาเล่น ในทีมชุดใหญ่มากนัก ยิ่งยุคก่อนที่พวกเขา จะโดนแบนจากยูฟ่า ไม่ให้ลงทะเบียนผู้เล่นใหม่ หรือเรียกว่า ห้ามซื้อผู้เล่นใหม่ ในช่วงปี 2019 เรียกได้ว่า ไม่มีนักเตะคนใด สามารถขึ้นสู่ชุดใหญ่ได้เลย
เพราะนโยบาย ในการทำทีมของพวกเขา มักจะซื้อผู้เล่นชื่อดัง มาร่วมทีมด้วยค่าตัวมหาศาล ทำให้ผู้เล่นเยาวชน ที่ต้องการพื้นที่ ที่จะได้พิสูจน์ตัวเอง ต้องระเห็จไปอยู่ กับสโมสรต่างๆ ปีนึง 30-40 คน ก็มี
แต่ผู้เล่นเหล่านั้น มักเป็นผู้เล่นที่ มีฝีเท้าดีกันอยู่แล้ว เรียกว่าคัดหัวกะทิ จากทั่วยุโรป มากองกันอยู่ที่ลอนดอน ทำให้เวลาที่พวกเขาขาย นักเตะเหล่านี้ มักจะได้ราคาสูง แม้หลายต่อหลายคน จะยังไม่ได้โอกาส พิสูจน์ตัวเองกับทีมชุดใหญ่ก็ตาม
ยกตัวอย่างในช่วงซัมเมอร์ ปี 2021 พวกเขาซื้อ โรเมลู ลูกากู มาด้วยค่าตัวเกือบ 100 ล้านปอนด์ แต่ในตลาดเดียวกัน พวกเขาสามารถขายนักเตะ ในตลาดซื้อขายรอบนั้น ได้ถึง 143 ล้านปอนด์ โดยที่เป็นนักเตะ จากทีมชุดใหญ่ เพียงไม่กี่คนเท่านั้น
ซึ่งคนเดียว ที่เป็นผู้เล่นที่เคยเป็นตัวจริง ก็มีเพียงแค่ แทมมี่ อับราฮัม ที่ย้ายไปอยู่กับ โรม่า ด้วยค่าตัว 36.5 ล้านปอนด์ ที่เหลือส่วนใหญ่จะเป็นเยาวชน รวมถึงตัวสำรอง ที่ผลุบๆ โผล่ๆ กับทีมชุดใหญ่ กับทีมชุดสำรองเท่านั้น
ทำให้ในตลาดซื้อขายครั้งนั้น พวกเขาซื้อผู้เล่น ระดับ 100 ล้านปอนด์ แต่สามารถทำกำไร ในตลาดซื้อขายได้ถึง 40 ล้านปอนด์ ความดีความชอบส่วนหนึ่ง ต้องมอบให้กับ ผู้ที่ดูแลการซื้อขายนักเตะ ของสโมสรอย่าง เจ๊มารีน่า
แต่สิ่งที่ต้องชม และต้องยกย่อง คือการมองการไกล และนโยบายของพวกเขา ที่พอรู้ตัวเรื่องกฎ ไฟแนนเชียล แฟร์ เพลย์ ก็คิดภาพการหาเงิน จากการลงทุน กับผู้เล่นในระดับเยาวชน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่พวกเขา ทำกันมานานแล้ว จนกระทั่งโดนโทษแบน ห้ามซื้อขายเมื่อปี 2019 ก็มาจากเรื่องเหล่านี